วันที่นำเข้าข้อมูล 5 เม.ย. 2555
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565
การเติบโตของตลาดสินค้าและบริการหรูในอินเดีย
1. เศรษฐกิจอินเดียได้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพร้อมๆ กับการเติบโตของเศรษฐกิจดังกล่าว ได้เกิดการขยายตัวขึ้นของจำนวนคนชั้นกลางซึ่งคาดว่าขณะนี้มีประมาณ 300 - 400 ล้านคนและในจำนวนดังกล่าวมีประชากรที่มีฐานะที่อยู่ในชั้นมหาเศรษฐี (High Networth Individuals - HNIs) ประมาณ 153,000 คน หรือมีจำนวนมากเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ทั้งนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กับการเพิ่มจำนวนของคนชั้นกลางและ HNIs ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพทางสังคมและวิถีการดำเนินชีวิตของชาวอินเดียในกลุ่มนี้ด้วย โดยเริ่มมีวิถีชิวิตแบบบริโภคนิยม ชื่นชอบใช้สินค้าและบริการหรูเพื่อตอบสนองความต้องการความสะดวกสบายและการมีหน้ามีตาในสังคม ซึ่งมีผลทำให้ตลาดสินค้าและบริการหรูราคาแพงในอินเดียเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
2.การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดสินค้าและบริการหรูราคาแพงในอินเดียเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยตามรายงาน Luxury Report ของบริษัท Kearney ประจำปี ค.ศ. 2011 ระบุว่า ตลาดสินค้าและบริการหรูราคาแพงของอินเดียมีมูลค่าโดยรวมประมาณ 4,760 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมากประมาณร้อยละ 20 ต่อปี โดยคาดว่าตลาดนี้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2015 และจะเป็นการเติบโตอย่างครอบคลุมทุกหมวดสินค้าและบริการหรู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิจการร้านอาหารราคาแพง รถยนต์ เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องประดับอัญมณีและนาฬิกา
3. เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ตลาดสินค้าและบริการหรูที่มีแบรนด์เนมจะจำกัดตัวอยู่เฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงนิวเดลี เมืองมุมไบ เท่านั้น แต่ขณะนี้ด้วยความเจริญและความมั่งคั่งของอินเดียได้ เริ่มกระจายไปสู่เมืองขนาดกลาง ( tier II, tier III cities) แล้ว ทำให้ตลาดสินค้าและบริการหรูขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันยอดจำหน่ายสินค้าและบริการเหล่านี้ประมาณร้อยละ 50 มาจากเมืองระดับรองๆ เช่น Hyderabad, Pune, Chennai, Ahmedabad, Surat, Ludhiana เป็นต้น โดยลูกค้าหลักของเมืองเหล่านี้เป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ จึงมีรสนิยมและความคุ้นเคยกับสินค้าที่มีแบรนด์เนมและการใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย โดยผู้มีฐานะดีในเมืองเล็กๆ จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ เพื่อหาซื้อสินค้าและใช้บริการหรูเหล่านี้
4. ทั้งนี้ ตัวอย่างของการเติบโตในตลาดสินค้าและบริการหรูของอินเดียที่ผ่านมา อาทิ คนอินเดียสั่งซื้อรถยนต์ Porsche จำนวน 312 คัน และ Ferrari 20 คัน ในปี 2554 และเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้ นักธุรกิจในเมือง Aurangabad ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ได้สั่งซื้อรถยนต์ Mercedes Benz คราวเดียวถึง 151 คัน และขณะนี้ร้าน Burberry ของอังกฤษมีสาขาอยู่ในอินเดียแล้วจำนวน 7 แห่ง โดยนาง Angela Ahrents ผู้บริหารสูงสุดของ Burberry กล่าวว่า ตลาดสินค้าหรูแบรนด์ระหว่างประเทศในอินเดียได้เติบโตอย่างรวดเร็วและบริษัทฯ เตรียมเปิดสาขาในอินเดียเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง นอกจากนั้น นาย Deepak Ohri ผู้บริหารโรงแรม Lebua Hotel กล่าวว่า ขณะนี้โรงแรมฯ กำลังจะเปิดร้านอาหารหรูราคาแพงที่สุดขึ้นที่กรุงนิวเดลี โดยได้ตัวอย่างจากร้านอาหาร Mezzaluna ที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีลูกค้าชาวอินเดียไปใช้บริการอย่างมาก โดยขณะนี้ลูกค้าชาวอินเดียที่มีฐานะดีจะไม่ลังเลที่จะใช้จ่ายเงินถึง 350 ดอลลาร์สหรัฐต่ออาหารเพียงหนึ่งมื้อ
5. ได้มีการวิเคราะห์ถึงศักยภาพของตลาดสินค้าและบริการหรูราคาแพงของอินเดีย โดยได้แยกเป็นหมวดๆ ดังนี้
51. เครื่องประดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัญมณีและนาฬิกามีความโดดเด่นกว่าสินค้าเครื่องประดับอื่นๆ โดยตลาดนี้มีมูลค่าประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐและเติบโตอย่างรวดเร็ว ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางระดับบนขึ้นไปที่ต้องการเสริมสร้างสถานะของตนในสังคมด้วยเครื่องประดับและของใช้ที่มีแบรนด์เนมราคาแพง อาทิ เข็มขัด กระเป๋า ผ้าคลุมผม แว่นตา น้ำหอม กระเป๋าถือสตรีและนาฬิกา เป็นต้น โดยลูกค้าอยู่ตามเมืองใหญ่และเมืองระดับรอง ทั้งนี้ ในหมวดนี้มีการเติบโตประมาณร้อยละ 30 ต่อปี ลูกค้าชาวอินเดียมักชื่นชอบสินค้าหรูตามสั่ง (customised) เพื่อใช้ในโอกาสที่สำคัญๆ เช่น งานสมรส งานครบรอบต่างๆ และงานฉลองเทศกาล เป็นต้น ซึ่งผู้ผลิตสินค้าชั้นนำจะออกผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีความโดดเด่นเฉพาะหรือมีจำนวนผลิตที่จำกัดหรือที่มีศิลปะเข้ากับรสนิยมและจารีตนิยมของอินเดีย เป็นต้น
5.2 รถยนต์ ตลาดรถยนต์หรูในอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยขณะนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก อาทิ Rolls Royce, Bentley, Lamborghini, Aston Martin, Ferrari, Maserati และ Bugatti ได้ไปเปิดสำนักงานจำหน่ายรถยนต์ของตนในอินเดียแล้ว นอกเหนือจากรถยนต์ราคาแพงทั่วไป เช่น Mercedes-Benz, BMW และ Audi ทั้งนี้ ถึงแม้ขณะนี้ตลาดรถยนต์หรูในเมืองใหญ่ๆ ของอินเดียเติบโตไม่มากนัก ซึ่งอาจสืบเนื่องมาจากได้มีการเปิดตลาดตามเมืองใหญ่ๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ความต้องการรถยนต์เหล่านี้ในเมืองขนาดกลาง (tier II cities) กลับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทั้งที่ในช่วงก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ปี หากผู้มีฐานะดีในเมืองขนาดกลางจะซื้อรถยนต์หรูราคาแพงก็จะสร้างความประหลาดใจให้แก่คนทั่วไป แต่ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว อาทิ เมืองเล็กๆ เช่นเมือง Kanpur และเมือง Aurangabad มียอดจำหน่ายรถยนต์หรูเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 120 โดยในระยะหลังลูกค้าหลักของรถยนต์ดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (second generation entrepreneurs) โดยบริษัท Audi ตั้งเป้าจำหน่ายให้ได้ประมาณ 7,500 คันในปี 2555 ส่วนบริษัท BMW ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ราคาแพงในอินเดียประมาณร้อยละ 41 ได้ตั้งเป้าเปิดศูนย์จำหน่ายรถยนต์ของตนออกไปนอกเหนือจากที่กรุงนิวเดลี และเมืองมุมไบ โดยภายใน 4 ปีข้างหน้าจะเปิดศูนย์จำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นอีก 36 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองขนาดกลาง ทั้งนี้ รถมอเตอร์ไซด์ราคาแพง เช่น Harley - Davidson ก็เห็นโอกาสในการขยายตลาดในเมืองขนาดรองของอินเดียเช่นกัน
5.3 อสังหาริมทรัพย์ ผู้มีฐานะดีของอินเดียให้ความสำคัญกับอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าด้วยเหตุผลเพื่อการพักอาศัยที่สะดวกสบายหรูหราแสดงสถานะทางสังคม รวมทั้งเป็นการลงทุนในทรัพย์สินขณะนี้ บุคคลเหล่านี้ต้องการบ้านพักหรืออพาร์ทเม้นท์ขนาดใหญ่ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยล่าสุดครบครัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกแบบและสร้างด้วยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงและมีการร่วมทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก หรือซื้อบ้านที่พัฒนาและบริหารโดยเครือโรงแรมระหว่างประเทศ โดยอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นตามเมืองใหญ่ๆ ของอินเดีย เช่น นิวเดลี มุมไบ เจนไน บังกาลอร์และได้ค่อยๆ ขยายตัวไปตามเมืองระดับรองๆ ลงมาแล้ว นอกจากนั้น เศรษฐีอินเดียยังนิยมซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศด้วยและที่นิยม คือ ดูไบ ลอนดอน นิวยอร์ก ฟลอริดา ทางใต้ของฝรั่งเศส มอริเชียส สิงคโปร์ และประเทศไทย
5.4 เรือยอชท์ ในระยะไม่นานมานี้ เศรษฐีอินเดียเริ่มให้ความสนใจในการครอบครองเรือยอชท์ เพื่อใช้ในการผักผ่อนรวมทั้งแสดงฐานะทางสังคมและการเงิน โดยขณะนี้ประธานบริษัทเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ระดับประเทศ อาทิ Vijay Mallya, Anil Ambani, Gautam Singhania, Anand Mahindra และ Rahul Bajaj ต่างมีเรือยอชท์ของตนเอง นอกจากนั้น ผู้มีฐานะดีระดับรองๆ ลงมาก็มีความนิยมเรือยอชท์ ในขนาดต่างๆ ลงมาเช่นกัน ซึ่งความนิยมนี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ เท่านั้นแต่ได้กระจายตัวไปในเมืองขนาดรองๆ ลงมาด้วย โดยมีการประเมินว่าขนาดของตลาดในหมวดนี้มีมูลค่าประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีและจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เท่าตัวในอีก 4 ปีข้างหน้า
5.5 การพักผ่อน ผู้มีฐานะดีของอินเดียยังนิยมใช้จ่ายเงินเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกและเข้าพักโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวทั้งในประเทศอินเดียและในต่างประเทศ รวมทั้งชื่นชอบที่จะรับประทานอาหารในห้องอาหารเลิศหรูราคาแพงเพื่อความพึงพอใจและเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ด้วย โดยในระยะหลังเริ่มนิยมเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศโดยเรือสำราญขนาดใหญ่ด้วย
5.6 เสื้อผ้า แต่เดิมผู้มีฐานะดีชาวอินเดียนิยมเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อหาซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ โดยเชื่อว่าสินค้าแบรนด์เนมต่างประเทศที่จำหน่ายในอินเดียตกรุ่นไปแล้วหรือไม่ก็มีแบบไม่ครบ collection แต่ขณะนี้เสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างประเทศที่จำหนายในอินเดียจะเป็นสินค้าใหม่ล่าสุดที่มีจำหน่ายไปพร้อมๆ กับในต่างประเทศด้วย ทำให้คนอินเดียหันมาหาซื้อสินค้าเหล่านี้ในอินเดียมากขึ้น มีการประเมินกันว่า หมวดสินค้าเสื้อผ้าหรูเหล่านี้มีมูลค่าทางการตลาดประมาณ 18,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และเติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 25 ต่อปี โดยขณะนี้ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศได้เข้าไปเปิดกิจการและขยายสาขาในอินเดียอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าชายจะนิยมเสื้อผ้าแบรนด์จากต่างประเทศแต่สำหรับสตรียังคงมีแนวโน้มที่จะซื้อเสื้อผ้าจากดีไซเนอร์อินเดียมากกว่า ทั้งนี้ ตลาดเสื้อผ้าหรูได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในเมืองขนาดรองๆ ลงมาเช่นกัน
5.7 ศิลปวัตถุ เศรษฐีอินเดียนิยมสะสมศิลปวัตถุเช่นเดียวกัน แต่ขณะนี้ยังมีจำนวนไม่มากนักประมาณ 500 คน ส่วนใหญ่อยู่ตามเมืองใหญ่ เช่น กรุงนิวเดลี และเมืองมุมไบ โดยจำนวนผู้สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในเมืองขนาดรองๆ ก็ได้เกิดนักสะสมศิลปวัตถุเพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ การสะสมศิลปะส่วนใหญ่จะเป็นของศิลปินท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง เช่น M.F. Husain, F.N. Souza และ Tyeb Metha เป็นต้น นอกจากนั้นขณะนี้การสะสมได้ขยายตัวออกไปจากภาพวาดไปสู่ศิลปวัตถุอื่นๆ จำพวกงานปั้น และศิลปะร่วมสมัยที่มีแนวคิดใหม่ๆ ด้วย โดยบริษัทค้าศิลปวัตถุได้มีการจัดงานแสดงศิลปะอย่างคึกคัก การสะสมศิลปวัตถุของผู้มีฐานะดีนอกจากเพื่อการชื่นชมแล้ว ยังเป็นทรัพย์สินที่ดีด้วย
6. ข้อสังเกตและข้อคิดเห็น
6.1 ปัจจุบันสภาพสังคมอินเดียมีความขัดแย้งกันเองอยู่มาก โดยขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน ซึ่งอินเดียได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรขาดสารอาหารสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีประชากรอีกส่วนหนึ่งที่มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีมาก โดยนับตั้งแต่เศรษฐกิจอินเดียได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะหลังนี้ ได้มีส่วนทำให้จำนวนคนยากจนลดลงอย่างมาก ขณะเดียวกันก็เกิดคนชั้นกลางซึ่งเป็นผู้ประกอบการและนักวิชาชีพที่มีรายได้สูงเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งจำนวนมหาเศรษฐีระดับโลกในอินเดียก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ประชากรที่มีรายได้ดีเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ หรือไม่ก็ได้รับการศึกษาที่ดี มีการรับรู้โลกภายนอกดีและมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศ ทำให้คนกลุ่มนี้นิยมการใช้ชีวิตสะดวกสบายแบบสากลและแสวงหาสินค้าหรูราคาแพงเพื่อประดับฐานะทางสังคมด้วย ซึ่งมีผลทำให้ตลาดสินค้าและบริการหรูของอินเดียเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะหลัง โดยผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ระหว่างประเทศได้เปิดกิจการและขยายกิจการในอินเดียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเห็นโอกาสและกำลังซื้อในคนกลุ่มบนของอินเดีย และขณะนี้กำลังซื้อของคนระดับบนก็ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ ของอินเดียอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปสู่เมืองระดับรองๆ ที่เริ่มมีผู้ประกอบการและนักวิชาชีพที่มีรายได้สูงเพิ่มมากขึ้น ภาพสังคมอินเดียขณะนี้จึงเป็นในลักษณะเดียวกับจีนก่อนหน้านี้ ซึ่งดูเหมือนอินเดียก็ได้ตั้งเป้าที่จะไล่จีนให้ทันในทุกด้านด้วย
6.2 การเติบโตของตลาดสินค้าและบริการหรูของอินเดียสะท้อนให้เห็นกำลังซื้อของตลาดอินเดียได้เป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการของไทยจะได้พึงแสวงหาโอกาสเพิ่มการขยายการค้าการลงทุนกับอินเดียอย่างจริงจัง ซึ่งขณะนี้ยังมีไม่สูงนักเมื่อเทียบกับศักยภาพของอินเดีย ทั้งนี้ สกญ.ฯ ได้มีโอกาสสนทนากับนาย Mark Heather ชาวอังกฤษ ผู้อำนวยบริหารภูมิภาคของบริษัท Absolute Hotel Services ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ของไทยกับหุ้นส่วนชาวอินเดีย ที่ขณะนี้ประกอบกิจการรับบริหารกิจการโรงแรมอินเดียประมาณ 17 แห่งทั่วอินเดีย โดยนาย Mark Heather ได้ตั้งข้อสังเกตว่าตลาดอินเดียมีศักยภาพมากและเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ประกอบการของไทยกลับยังไม่สนใจตลาดอินเดียเท่าที่ควร ซึ่งขณะนี้หลายประเทศได้ส่งคนมาฝังตัวเพื่อหาลู่ทางการค้าและการลงทุนกับอินเดียอย่างคึกคัก ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการของไทยเข้ามาในอินเดียช้ากว่านี้อีก 5 ปี ก็ไม่น่าจะทันการ เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ประเทศอื่นๆ คงกอบโกยผลประโยชน์มหาศาลไปแล้ว และได้แนะนำให้ผู้ประกอบการไทยมาตั้งสำนักงานตัวแทนในอินเดีย แทนการติดต่อการค้าด้วยการเดินทางมาในระยะสั้นซึ่งจะไม่ได้ผลและการลงทุนในอินเดียควรเป็นการร่วมทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่นจึงจะได้ผล ซึ่งจะทำให้การตั้งกิจการและบริหารงานง่ายขึ้นมาก
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ