การประกอบอาชีพของคนไทยในรัฐกัว

การประกอบอาชีพของคนไทยในรัฐกัว

วันที่นำเข้าข้อมูล 14 ก.ย. 2555

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 5,151 view

เมื่อวันที่ 7 - 9 ก.ย. 2555 สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ ได้จัดคณะเจ้าหน้าที่เดินทางไปเยี่ยมเยียนชุมชนคนไทยในรัฐกัว ซึ่งเป็นโครงการประจำปีของสถานกงสุลใหญ่ฯ ซึ่งการเดินทางไปในแต่ละครั้งเจ้าหน้าที่จะให้บริการงานด้านกงสุลแก่คนไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนังสือเดินทางหรืองานทะเบียนราษฎร์ต่างๆ  รวมทั้งได้ให้
  คำแนะนำเกี่ยวกับกฎระเบียบ
  ของทางการอินเดีย ที่อาจมี
  ผลกระทบต่อการเข้าเมือง
  และการประกอบอาชีพของ
  คนด้วย ในการไปรัฐกัวครั้งนี้
  เจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลฯ
  ได้มีโอกาสร่วมรับประทาน
  อาหารไทยกับชุมชนไทยก
ว่า
  50 คนที่ภัตตาคารไทย Chili
  Hip ทำให้ได้ทราบถึง

ชายหาดรัฐกัว (รูปจาก www.lonelyplanet.com)       ความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของคนไทยในรัฐกัวที่น่าสนใจ
                                                        จึง
ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อว่าอาจเป็นประโยชน์ต่อคนไทยที่คิด
                                                        จะไป
ประกอบอาชีพหรือลงทุนในรัฐกัวต่อไป

               1. ภัตตาคารไทยและสปาไทยของบริษัท  Acron Place

นาย Amit Gajakose เจ้าหน้าที่ของบริษัท Acron Place ได้เล่าให้คณะของสถานกงสุญใหญ่ฯ ฟังว่า นายแพทย์ Joseph Britto ชาวอินเดีย ได้ก่อตั้งบริษัท Acron Place เพื่อดำเนินกิจการภัตตาคารไทยและสปาไทยที่ ถนน Fort Aguada เมืองแคนโดลิม รัฐกัว เมื่อเดือนเมษายน 2555 โดยมีบริษัท Centara Hotels & Resorts ของไทยช่วยในด้านการบริหารจัดการ ตั้งแต่การออกแบบการตบแต่งภัตตาคารไทย (Chili Hip) และสถานสปาไทย (Spa Cenvaree) รวมทั้งการจัดหาพ่อครัวไทยและพนักงานสปาไทยให้ด้วย เพื่อให้บริการทุกอย่างเป็นไทยจริงๆ โดยภัตตาคารไทยใช้พ่อครัวไทย
1 คน ส่วนสปาไทยมีผู้จัดการสปาไทย 1 คน และพนักงานสปา                (รูปจาก www.traveltrips.org)
ชาวไทยอีก 11 คน ภัตตาคาร Chili Hip บริการอาหารไทย
ทั้งหมด สามารถจุคนได้ประมาณ 40 คน บรรยากาศภายในร้านเป็นแบบไทยผสมสากล ส่วน Spa Cenvaree มีห้องสปาสำหรับบริการลูกค้าทั้งหมด 14 ห้อง ตกแต่งสวยงามในศิลปผสมผสานระหว่างไทยกับอินเดียอย่างลงตัว ผลิตภัณฑ์สปาก็ใช้ของไทยเป็นส่วนใหญ่

คุณอุไรวรรณ รามกำแหง ผู้จัดการสปาไทยได้เล่าให้คณะของเราฟังว่า นายแพทย์ Joseph Britto เจ้าของกิจการเป็นคนใจดีมากและให้การดูแลพนักงานไทยเป็นอย่างดี จนพนักงานทุกคนมีขวัญและกำลังใจดี มีความสุขในการทำงาน โดยพนักงานแต่ละคนได้รับเงินเดือนเดือนละ 800 ดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งบริษัทฯ ได้จัดหาที่พัก อาหารและรถรับส่งให้ด้วย รวมทั้งช่วยดำเนินการโอนเงินเดือนของพนักงานกลับประเทศไทยให้ด้วย ส่วนการขอวีซ่าเข้าไปทำงานในอินเดียนั้น บริษัท Centara Hotels & Resorts เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการให้ ซึ่งพนักงานไทยทั้งหมดได้รับวีซ่าประเภทธุรกิจ (Business Visa) อยู่อินเดียได้คราวละ 6 เดือน สามารถเดินทางเข้าออกอินเดียได้หลายครั้ง และเมื่อวีซ่าหมดอายุก็สามารถต่ออายุได้อีกคราวละ 6 เดือน โดยการเข้าไปทำงานในอินเดียเป็นแบบ consultant 


ขณะนี้บริษัท Acron Place กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างรีสอร์ทที่มีระดับอีกแห่งหนึ่งชื่อ Baga Waterfront Resort & Spa (BWRS) ในรัฐกัว ซึ่งมีขนาดห้องพัก 30 ห้อง โดยภายในรีสอร์ทจะมีทั้งภัตตาคารไทยและสปาไทยให้บริการด้วย ซึ่งบริษัท Centara Hotels & Resorts จะเข้ามารับผิดชอบในการบริหารจัดการ BWRS ให้ด้วย ซึ่งจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในเดือนเมษายน 2556 นอกจากกิจการข้างต้นแล้ว นายแพทย์ Joseph Britto ยังประกอบธุรกิจในสาขาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ด้วย โดยมีกิจการในเครือ อาทิ โรงแรม Fortune Select Regina โรงแรมระดับ 5 ดาวในรัฐกัว และโรงแรม JW Mariott โรงแรมระดับ 5 ดาวในเมืองมุมไบที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเริ่มเปิดดำเนินการในปี 2556 จะเห็นได้ว่าสถานะของบริษัท Acron Place มีความมั่นคงมาก ซึ่งโอกาสที่คนไทยจะได้ทำงานกับบริษัทนี้ยังมีอีกพอสมควรทีเดียว

         2. โรงเรียนสอนการแกะสลักผักและผลไม้ Royal Thai Art

คนไทยที่แต่งงานกับชาวอินเดียและอาศัยอยู่ในรัฐกัวมากว่า 20 ปีแล้ว ได้เปิดโรงเรียนสอนแกะสลักผักและผลไม้ชื่อ Royal Thai Art โดยเปิดสอนให้แก่คนท้องถิ่น ซึ่งหลายรุ่นเมื่อจบหลักสูตรไปแล้ว ก็สามารถไปประกอบอาชีพได้ นอกจากนั้น โรงเรียน Royal Thai Art  ยังรับจ้างแกะสลักผักและผลไม้เพื่อใช้ในงานพิธีต่างๆ ของอินเดียที่มีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานแต่งงานที่จัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งกิจการนี้ประสบความสำเร็จพอสมควร จนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับภาษาอังกฤษของรัฐกัวได้เคยนำเรื่องราวไปลงยกย่องชมเชยมาแล้ว   

         3. ร้านเสริมสวย Hip Snip  

คนไทยอีกคนหนึ่งที่แต่งงานกับชาวอินเดียได้เปิดร้านเสริมสวยชื่อ Hip Snip ที่เมืองมาเกา รัฐกัว โดยเจ้าของร้านทำผมด้วยตนเองและมีลูกจ้างชาวอินเดียช่วยงานอีก 2 คน ช่างผมไทยคนนี้มีฝีมือมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้เคยไปใช้บริการมาแล้วยังติดใจ ธุรกิจก็ประสบความสำเร็จด้วยดี โดยมีรายได้ดีทีเดียว ลูกค้ามีทั้งที่เป็นคนท้องถิ่นที่ฐานะดีและนักท่องเที่ยว ซึ่งในช่วงฤดูท่องเที่ยวมีรายได้สูงถึงเดือนละ 200,000 - 300,000 รูปี (120,000 - 180,000 บาท) ทีเดียว ส่วนนอกฤดูท่องเที่ยวมีก็มีรายได้ประมาณเดือนละ 100,000 รูปี (60,000 บาท)

          4. โอกาสในการประกอบอาชีพของคนไทยในรัฐกัว

ขณะนี้คนไทยที่อาศัยอยู่ในรัฐกัวยังมีค่อนข้างน้อย ประมาณ 50 คน โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นพนักงานสปาและรับจ้างอื่นๆ และที่ประกอบธุรกิจเองก็ยังเป็นกิจการขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม การที่บริษัท Acron Place ของอินเดียได้เริ่มเปิดกิจการภัตตาคารและสปาไทยที่ได้มาตรฐานเป็นแห่งแรกในรัฐกัว โดยมีบริษัท Centara Hotels & Resorts ที่มีชื่อเสียงของไทยช่วยในด้านบริการจัดการก็นับเป็นแนวโน้มที่ดี ซึ่งกิจการนี้จะช่วยส่งเสริมอาหารไทยและนวดสปาไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่ชาวอินเดียและชาวต่างชาติที่ไปท่องเที่ยวในรัฐกัวได้มากยิ่งขึ้น  และยังเป็นแหล่งจ้างงานพนักงานไทยในสาขานี้อย่างถูกต้องตามกฏหมายด้วย ทั้งนี้ การที่รัฐกัวเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศชายทะเลที่ได้รับความนิยมสูงสุดของชาวอินเดียคล้ายกับ จ. ภูเก็ตของไทย  โอกาสในการประกอบอาชีพของคนไทยและลงทุนของไทยในรัฐกัวจึงมีอยู่ในสาขา hospitality เป็นส่วนใหญ่ โดยธุรกิจที่น่าจะมีศักยภาพ อาทิ ภัตตาคารและสปาไทย ธุรกิจรับบริหารกิจการโรงแรมและรีสอร์ท (ดังเช่นที่บริษัท Centara Hotels & Resorts ได้ดำเนินการในขณะนี้) หรือเปิดกิจการโรงแรมของไทยเองก็เป็นไปได้ นอกจากนั้น การลงทุนทำโครงการบ้านพักตากอากาศระดับ high end ก็มีศักยภาพ เนื่องจากผู้มีฐานะดีชาวอินเดียนิยมมีบ้านพักตากอากาศในรัฐกัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการจัดหาที่ดินในรัฐกัวน่าจะมีความยุ่งยากน้อยกว่ารัฐอื่นๆ เพราะยังมีพื้นที่ว่างอยู่อีกจำนวนมาก

 


Spa Cenravee by Centara

                                                                                                          

สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ